เพลงเทพรัญจวน
เพลงเทพรัญจวน
มีที่มาสายเดียวกับเพลงนิมิตกล่าวคือมาจากเพลงนางหงสส์อัตราสองชั้น
ที่เก่าแก่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ท่านโบราณาจารย์ได้แต่งขึ้นไว้ใช้ในราชการบรรเลงเพลงประโคมศพ
อันว่าเพลงนางหงส์
จัดเป็รเพลงชุดที่บรรเลงติดต่อกันหลายเพลง เริ่มต้นด้วยเพลงพราหมณ์เก็บหัวแหวน
แล้วต่อด้วยเพลงสาวสอดแหวน เพลงแสนสุดสวาท และเพลงแมลงวันทอง
เพลงพราหมณ์เก็บหัวแหวนนั้นครูบัวได้แต่งขยายขึ้น
เป็นอัตราสามชั้นเรียกว่าเพลงเทพนิมิต เพลงสาวสอดแหวน
มีผู้นำมาปรุงแต่งขยายเป็นสามชั้น โดยแยกเป็นสองทาง คือทางธรรมดาดำเนินทำนองไปเรียบๆ
คงใช้ประโคมศพตามปกติ ส่วนทางพิเศษมีแทรกลูกล้อลูกขัดไว้อย่างพิสดาร
นิยมใช้บรรเลงเพลงขับร้องหรือร้องส่งกันมาจนถึงปัจจุบัน
เพลงแสนสุดสวาทก็มีการแต่งขยายเป็นสามชั้นสองทาง
ทำนองเดียวกับเพลงสาวสอดแหวนคือทางธรรมดาใช้ประโคมศพ
ส่วนทางพิเศษใช้ร้องส่งเพลงแมลงวันทอง ต่อมาแยกทำนองแปลกเปลี่ยนออกเป็นสองทาง
เพลงแมลงปอทองกับเพลงแมลงวันทอง
เพลงแมลงปอทองใช้บรรเลงและขับร้องประกอบการแสดงโขนละครเป็นสำคัญ ส่วนทางแมลงวันทองนั้นได้มีการนำมาปรุงแต่งเป็นเพลงเถาใช้เพลงบรรเลงร้องส่งทั่วไป
ยิ่งกว่านั้นเพลงแสนสุดสวาทในภายหลังเมื่อเป็นเพลงเถาแล้ว
ตอนที่อยู่ในอัตราชั้นเดียว
ยังมีชื่อใหม่ว่าเพลงกระบองทองซึ่งยังมีการตัดย่อลงไปอีกชั้นหนึ่ง
(เรียกว่าครึ่งชั้น) ใช้บรรเลงอยู่ในเรื่องเพลงฉิ่ง อีกอย่างหนึ่ง
เพลงแสนสุดสวาทนี้คือต้นกำเนิดอันเป็นที่มาของเพลงเทพรัญจวน เรื่องมีดังนี้
ราวสมัยปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุริยางกูร)
หรือชาวบ้านเรียกว่าครูมีแขก ได้นำเพลงแสนสุดสวาททางเรียบๆ
หรือทางธรรมดามาแต่งขยายขึ้นเป็นอัตราสามชั้น และตั้งชื่อใหม่ว่าเพลงเทพรัญจวน การประดิษฐ์แต่งเพลงเทพรัญจวนในครั้งนั้นก็เป็นไปอย่างเรียบๆ
ไม่สู้จะพลิกแพลงโลดโผนนัก ทั้งนี้เป็นไปตามความนิยมของยุคนั้น
และเพื่อให้มีลีลาเหมาะแก่การใช้บรรเลงเป็นเพลงขับร้องทั่วๆไป (มากกว่า สำนวนเดิม
ซึ่งใช้เพลงประโคมศพ) แล้วใช้ส่งปี่พาทย์ อย่างไรก็ดีแม้จะมีทางเป็นแบบเรียบๆ
พื้นๆ ผู้แต่งก็ยังได้สอดแทรกชั้นเชิงแง่งอนอันคมคายไว้หลายตอนทีเดียว
ต่อมาพระยาจิรายุมนตรี
เมื่อครั้งยังมีราชทินนามเป็นพระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง (เนียม)
ได้ดำริจะให้มีทำยนองเพลงเทพรัญจวนที่วิจิตรพิสดารพลิกแพลง
มีลูกล้อลูกขัดอีกทางหนึ่งเอาไว้สำหรับบรรเลงเป็นเที่ยวกลับ
เพราะท่านผู้นี้เป็นเจ้าของละครนอกผู้หญิงที่มีชื่อเสียงในสมัยต้น รัชกาลที่ 5
และมีวงปี่พาทย์ประจำบ้านด้วย ท่านจึงมอบหมายให้ครูช้อย สุนทรวิทิน กับพระยาประสานดุริยศัพท์
(แปลก ประสานศัพท์) ซึ่งเป็นครูปี่พาทย์ประจำวงของท่าน ได้ช่วยกันแต่งเพลงเทพรัญจวนขึ้นอีกทางหนึ่ง
(เที่ยวกลับ) ตามดำรินั้น นำออกบรรเลงขับร้องให้เข้าชุดกันกับเพลงเทพรัญจวน
ทำนองสามชั้นของพระประดิษฐ์ไพเราะ ปรากฏว่าประสบความสำเร็จมากเป็นที่นิยมในวงการดนตรีขณะนั้นอย่างกว้างขวาง
จนกลายเป็นประเพณีนิยม หากจะบรรเลงเพลงเทพรัญจวนสามชั้นแล้ว เที่ยวแรก (ตัน)
จะใช้ทางของพระประดิษฐ์ไพเราะ ส่วนเที่ยวกลับจะใช้ของครูช้อย สุนทรวาทิน
กับของพระยาประสานดุริยศัพท์
เหตุการณ์ล่วงมาจนถึงยุคที่มีคนนิยมฟังเพลงเถาอย่างแพร่หลาย
ได้มีผู้เชี่ยวชาญการดนตรีและการแต่งเพลง
(สังคีตาจารย์)
ได้นำเพลงเทพรัญจวนมาตัดแต่งเป็นเพลงเถาขึ้นหลายสำนวนเช่นเดียวกับเพลงอื่นๆ
แต่สำนวนหรือทางที่แพร่หลายเป็นที่นิยมอย่างสูงนั้น เห็นจะได้แก่ทางของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ
(ศร ศิลปบรรเลง) ซึ่งได้ทำไว้เมื่อราวปีพุทธศักราช 2473
ในการแต่งครั้งนั้น
นอกจากหลวงประดิษฐ์ไพเราะจะได้ตัดแต่งทำนองสองชั้นและชั้นเดียวจากทาง(สำนวน)
ของเดิมทั้งทำนองร้องและทำนองดนตรีครบเปป็นเพลงเถาตามปกติอัตราแล้ว
ท่านยังมีการปรุงแต่ง (ตกแต่ง)
อัตราสามชั้นให้ดำเนินลีลาแปลกเปลี่ยนไปจากทำนองสามชั้นของเดิม
พร้อมทั้งตัดแต่งทำนองสองชั้นและชั้นเดียวจากอัตราสามชั้น
ซึ่งท่านปรุงแต่งขึ้นใหม่นี้ครบเป็นเถาไว้อีกทางหนึ่งด้วย
ซึ่งยีงคงเป็นที่นิยมมาจนถึงทุกวันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น